วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557
ความหมายคำศัพท์ Web Site, Web page, Homepage, Webmaster, www และ Tcp/IP
ความหมายคำศัพท์ Web Site, Web page, Homepage, Webmaster, www และ Tcp/IP
เว็บไซต์ Web site
เว็บไซต์ หมายถึง หน้าเว็บเพจหลายหน้า ซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านทางไฮเปอร์ลิงก์ ส่วนใหญ่จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์ โดยถูกจัดเก็บไว้ในเวิลด์ไวด์เว็บ หน้าแรกของเว็บไซต์ที่เก็บไว้ที่ชื่อหลักจะเรียกว่า โฮมเพจ เว็บไซต์โดยทั่วไปจะให้บริการต่อผู้ใช้ฟรี แต่ในขณะเดียวกันบางเว็บไซต์จำเป็นต้องมีการสมัครสมาชิกและเสียค่าบริการเพื่อที่จะดูข้อมูล ในเว็บไซต์นั้น ซึ่งได้แก่ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ หรือข้อมูลสื่อต่างๆ ผู้ทำเว็บไซต์มีหลากหลายระดับ ตั้งแต่สร้างเว็บไซต์ส่วนตัว จนถึงระดับเว็บไซต์สำหรับธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ การเรียกดูเว็บไซต์โดยทั่วไปนิยมเรียกดูผ่านซอฟต์แวร์ในลักษณะของ เว็บเบราว์เซอร์
เว็บไซต์แห่งแรกของโลกสร้างขึ้นเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2536 โดยวิศวกรของเซิร์น
เว็บเพจ (Web Page) คืออะไร
เว็บเพจ คือ คำที่ใช้เรียกหน้าเอกสารต่างๆ ที่อยู่ในรูปแบบไฟล์ HTML (Hyper Text Markup Language) เปรียบเสมือนหน้ากระดาษแต่ละหน้าที่มีเรื่องราวต่างๆมากมายบรรจุอยู่ในนิตรสาร แต่แตกต่างกันตรงที่มีการเชื่อมโยง (Link) ซึ่งเราสามารถคลิกไปที่หน้าใดของโฮมเพจก็ได้
Home page คืออะไร
โฮมเพจ คือคำที่ใช้เรียกหน้าแรกของเว็บไซต์ โดยเป็นทางเข้าหลักของเว็บไซต์ เมื่อเปิดเว็บไซต์นั้นขึ้นมา โฮมเพจ ก็จะเปรียบเสมือนกับเป็นสารบัญและคำนำที่เจ้าของเว็บไซต์นั้นได้สร้างขึ้น เพื่อใช้ประชาสัมพันธ์องค์กรของตน นอกจากนี้ ภายในโฮมเพจก็อาจมีเอกสารหรือข้อความที่เชื่อมโยงต่อไปยังเว็บเพจอื่นๆอีกด้วย
ตัวอย่าง Home page ของ google
ในหน้าโฮมเพจของเว็บไซต์ มักประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
1.โลโก้ (logo) คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถจดจำเว็บไซต์ของเราได้ นอกจากนี้แล้วโลโก้ยังช่วยให้เว็บไซต์ของเราดูมีเอกลักษณ์อีกด้วย
2. เมนูหลัก (link menu) เป็นจุดที่เชื่อมโยงข้อมูลที่สำคัญ ซึ่งรวบรวมไว้ในรูปแบบของปุ่มเมนู หรือข้อความที่ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์สามารถรับรู้เรื่องราวที่น่าสนใจของเว็บไซต์ได้ ควรมีข่าวใหม่ๆ เนื้อหาใหม่ๆมาตลอด
3. โฆษณา (Banner) เป็นส่วนที่สำคัญอีกเช่นเดียวกัน เพราะเว็บไซต์ที่มีโฆษณาจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และช่วยกระตุ้นความสนใจเพราะมักใช้ภาพเคลื่อนไหว (Gif Animation) ประกอบซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ของเราดูตื่นตาตื่นใจมากขึ้น จากการวิจัยพบว่าภาพเคลื่อนไหวยังช่วยให้เว็บไซต์ของเราดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้นถึง 30% แต่ไม่ควรมีโฆษณามากเกินไปและควรจัดวางตำแหน่งให้เหมาะสมอีกด้วย
4. ภาพประกอบและเนื้อหา (content) เป็นส่วนที่ให้สาระความรู้กับผู้เข้าชม ซึ่งเนื้อหาที่ให้จะต้องมีขนาดพอเหมาะไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป ควรมีการปรับเนื้อหาให้ใหม่ทันกับปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา จัดวางเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้ที่เข้ามาชมเนื้อหา และการมีภาพที่เกี่ยวข้องประกอบอยู่ยิ่งจะทำให้เว็บไซต์เป็นที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
5. การใช้สีให้เหมาะสมกับหน้าโฮมเพจ (color)เพราะสีแต่ละสีจะให้ความรู้สึกที่มีผลด้านอารมณ์กับผู้เข้าชมในลักษณะที่แตกต่างกันไป
การสร้างโฮมเพจ สามารถทำได้หลายวิธีเช่น
1. ใช้ Web Hosting ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ให้บริการจัดเก็บข้อมูล โดยบางเว็บไซต์ให้บริการในการสร้างโฮมเพจสำเร็จรูปกับผู้ต้องการในการมีโฮมเพจ ซึ่งจะมีรูปแบบของโฮมเพจให้เลือกได้ตามที่ต้องการ หรือต้องการให้ออกแบบตามความประสงค์ของผู้ใช้บริการก็ได้
2. ใช้โปรแกรมสร้างเว็บเพจ เป็นการสร้างโฮมเพจโดยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการสร้าง ทำให้สามารถสร้างตาราง จัดวางตำแหน่งข้อความหรือรูปภาพได้สะดวก ตลอดจนการปรับแต่งแก้ไขจะทำได้ง่าย ซึ่งโปรแกรมที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่โปรแกรม Dreamweaver, FrontPage, Go Live หรือ Home Site เป็นต้น
3.โปรแกรมภาษา HTML และ JavaScript การสร้างโฮมเพจโดยใช้โปรแกรมภาษา HTML และ JavaScript นั้น ผู้สร้างโฮมเพจจะต้องมีความสามารถและความชำนาญในการเขียนโปรแกรมได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการสร้างโฮมเพจด้วยวิธีนี้ เป็นการพิมพ์คำสั่งและข้อมูลที่ต้องการแสดงบนโฮมเพจพร้อมกัน
เว็บมาสเตอร์ webmaster
คือบุคคลผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการออกแบบ การพัฒนา การดูแลการตลาด และการบำรุงรักษาเว็บไซต์ โดยเฉพาะบนเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์ เว็บมาสเตอร์สามารถปรับเปลี่ยนหรือจัดการความคิดเห็นของผู้ใช้คนอื่นๆ ได้ เว็บมาสเตอร์อาจเรียกเป็นอย่างอื่นได้เช่น ผู้ดูแลเว็บไซต์ (website administrator) ผู้สร้างเว็บ ผู้พัฒนาเว็บ หรือผู้ออกแบบเว็บ เป็นต้น
หน้าที่ของเว็บมาสเตอร์
เว็บมาสเตอร์ คือ ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลเว็บไซต์ทั้งหมด รวมถึงดูแลในส่วนของข้อมูลต่าง ๆ และรับผิดชอบหากเกิดกรณีข้อมูลภายในเว็บมีปัญหาเกิดขึ้น เช่น ข้อมูลในเว็บไปละเมิดสิทธิ์ของคนอื่น อันนี้เว็บมาสเตอร์ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เกิดอะไรจะดีหรือไม่ดี เขาจะติดต่อมาที่เว็บมาสเตอร์แต่เพียงผู้เดียว
เว็บมาสเตอร์ต้องรู้อะไรบ้าง
อย่างที่บอกเว็บมาสเตอร์จะเป็นเหมือนผู้บริหารองค์กร เพราะฉะนั้นตัวเว็บมาสเตอร์ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องการทำเว็บไปเสียทั้งหมด แต่เว็บมาสเตอร์ต้องเข้าใจในหลักการทั้งหมด เช่น ต้องเข้าใจว่า HTML PHP CSS มีหน้าที่อะไร ทำงานอย่างไร และควรเขียนได้ และต้องเข้าใจภาษาโปรแกรมต่าง ๆ ที่นำมาใช้ทำเว็บนั้น
ยังมีอีกหลายสิ่งที่เว็บมาสเตอร์ต้องรู้ เช่น เรื่องของ Protocol, URL, FTP, Image, Web Server, DataBase พวกนี้เว็บมาสเตอร์ต้องรู้และเข้าใจ อาจจะไม่เก่งก็ได้ ที่สำคัญต้องรู้หลักการในทุกอย่างที่กล่าวมา ว่าสิ่งใดใช้ทำอะไร และสิ่งนั้นมีความสามารถขนาดไหน
ปัญหาของเว็บมาสเตอร์
ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดกับเว็บมาสเตอร์ทุกคนเพราะเป้าหมายและการกำเนิดของแต่ละเว็บไซต์ไม่เหมือนกัน แต่ละปัญหาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะเว็บไซต์ การป้องกัน และวิธีแก้ปัญหาที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์เวลา และเทคโนโลยี
ปัญหาของเว็บมาสเตอร์ 9 ลักษณะ
1. อัตราการรับ-ส่งข้อมูล (Data transfer) หรือจำนวนการเข้าเว็บไซต์มากเกินข้อจำกัดของผู้ให้บริการ
2. พื้นที่เก็บข้อมูล (Storage) มีขนาดน้อยเกินไป ทำให้เก็บข้อมูลเพิ่มไม่ได้
3. ผู้บุกรุก (Hacker) เข้ามาเจาะระบบ จากบริการที่เว็บมาสเตอร์เปิดบริการแต่ไม่สามารถควบคุม
4. เปิดบริการที่ยังไม่สมบูรณ์ (Incomplete services) มักเป็นบริการที่พัฒนาขึ้นใช้เองแต่ไม่ได้ทดสอบให้ดี
5. ไม่รู้วิธีการ(Unknown) ที่จะพัฒนาเว็บไซต์ให้บรรลุเป้าหมายด้านบริการ
6. ไม่มีเวลาพัฒนาต่อ (No time) เพราะมีงานอื่นที่สำคัญกว่าต้องทำ
7. เครื่องบริการล่มบ่อย(No service)เพราะผู้ให้บริการเช่าพื้นที่สร้างเว็บ(Webhosting)ไม่ขยายศักยภาพ
8. เปิดบริการแต่ไม่มีผู้เข้ามาใช้บริการ (Low hits)เพราะไม่เข้าใจวิธีการประชาสัมพันธ์ หรือเนื้อหาไม่จูงใจ
9. มีรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย (Low income)
เป้าหมายของการพัฒนาเว็บไซต์
เป้าหมายอาจวัดเป็นตัวเงินหรือจำนวนคนเข้าชมเว็บการวัดเป็นตัวเงินเป็นตัวบงชี้ถึงความอยู่รอดของเว็บได้มากกว่าเพราะเว็บบางแห่งมีจำนวนคนเข้ามาก แต่มีรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย หรือค่าบำรุงรักษา ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยเลิกกิจการไปในยุคฟองสบู่แตก หรือทนต่อไปไม่ได้
เป้าหมายของการพัฒนาเว็บไซต์ ที่คล้ายกันมี 4 ลักษณะ
1. ได้รับค่าโฆษณาจากการติดแผ่นป้าย (Banner) หรือฝากข่าวประกาศ เป็นต้น
2. เพิ่มยอดขายจากการขายสินค้าในแบบ e-Commerc
3. สร้างภาพลักษณ์หรือประชาสัมพันธ์องค์กร
4. เผยแพร่ข้อมูลที่ผู้พัฒนาชื่นชอบเห็นว่ามีประโยชน์
5. ฝึกปฏิบัติ หรือหาประสบการณ์จากการทำงานจริง
World Wide Web คืออะไร
World Wide Web หรือที่เรามักเรียกสั้นๆว่า Web หรือ W3 (WWW) คือ คอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งบนอินเตอร์เน็ต ที่ถูกเชื่อมต่อกันในแบบพิเศษที่ทำให้คอมพิวเตอร์เหล่านั้นสามารถเข้าถึงข้อมูลเนื้อหาที่เก็บไว้ภายในของแต่ละเครื่องได้ (กลายเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่) โดยผ่านทาง บราวเซอร์ (Browser) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ประเภทหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้อ่านและตอบโต้ข้อมูลต่างๆที่มีอยู่ใน World Wide Web โดยเฉพาะ บราวเซอร์ที่พบเห็นได้มากที่สุดในปัจจุบัน ได้แก่ Internet Explorer ของ และ Netscapeที่มาของ World Wide Webเวิร์ลไวด์เว็บถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยมีโครงการทางวิชาการในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างนักวิทยาศาสตร์ในทวีปยุโรป โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ CERN ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยทางนิวเคลียร์ฟิสิกส์ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้ที่ได้รับเกียรติเป็นบิดาของเวิร์ลไวด์เว็บได้แก่ Tim Berners-Lee ทิมได้คิดโครงการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารขึ้้นมา โดยใช้ระบบไฮเปอร์เท็กซ์ และโครงการของเขาก็ได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยจนเขากลายเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ไป ปัจจุบันนี้ทิมทำงานอยู่ที่ World Wide Web Consortium หรือชื่อย่อว่า W3C ซึ่งเป็นองค์กรศูนย์กลางของเครือข่ายใยแมงมุมทำหน้าที่รับรอบมาตรฐานต่างๆของระบบทั้งหมด
TCP/IP (Transmitsion Control Protocol/Internet Protocol)
เป็นชุดของโปรโตคอลที่ถูกใช้ในการสื่อสารผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถใช้สื่อสารจากต้นทางข้ามเครือข่ายไปยังปลายทางได้ และสามารถหาเส้นทางที่ จะส่งข้อมูลไปได้เองโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าในระหว่างทางอาจจะผ่านเครือข่ายที่มีปัญหา โปรโตคอลก็ยังคงหาเส้นทางอื่นใน การส่งผ่านข้อมูลไปให้ถึงปลายทางได้
ชุดโปรโตคอลนี้ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี 1960 ซึ่งถูกใช้เป็นครั้งแรกในเครือข่าย ARPANET ซึ่งต่อมาได้ขยายการ เชื่อมต่อไปทั่วโลกเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทำให้ TCP/IP เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน
จุดประสงค์ของการสื่อสารตามมาตรฐาน TCP/IP
1. เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างระบบที่มีความแตกต่างกัน
2. ความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบเครือข่าย เช่นในกรณีที่ผู้ส่งและผู้รับยังคงมีการติดต่อกันอยู่ แต่โหนดกลางทีใช้เป็นผู้ช่วยรับ-ส่งเกิดเสียหายใช้การไม่ได้ หรือสายสื่อสารบางช่วงถูกตัดขาด กฎการสื่อสารนี้จะต้องสามารถ จัดหาทางเลือกอื่นเพื่อทำให้การสื่อสารดำเนินต่อไปได้โดยอัตโนมัติ
3. มีความคล่องตัวต่อการสื่อสารข้อมูลได้หลายชนิดทั้งแบบที่ไม่มีความเร่งด่วน เช่น การจัดส่งแฟ้มข้อมูล และแบบ ที่ต้องการรับประกันความเร่งด่วนของข้อมูล เช่น การสื่อสารแบบ real-time และทั้งการสื่อสารแบบเสียง (Voice) และข้อมูล (data)
แหล่งอ้างอิง
http://th.wikipedia.org
http://www.phuketmultimedia.com
http://www.phuketmultimedia.com
http://mtbkzone.exteen.com
http://www.oknation.net
http://www.arit.rmutl.ac.th
http://www.d-looks.com
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น